สรุปย่อหนังสือ POWERFUL
บทนำ การจัดการทรัพยากรมนุษย์ คือให้พวกเขาปลดปล่อยศักยภาพของเขาออกมา ในบทนำบอกว่าหนังสือนี้ไม่ใช่วิธีการก่อตั้ง Netflix แต่เป็นข้อแนะนำในการสร้าง High-Performance Culture ที่สามารถเข้ากับธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไว เหมาะสำหรับผู้บริหารทุกระดับ
บทที่ 1 The Great Motivation Is Contributing To Success | Treat People Like Adult ทีมที่ดี คือ ทีมที่สมาชิกรู้เป้าหมายและทำทุกวิธีให้ไปถึงเป้าหมาย ส่วนประกอบหนึ่งคือความเชื่อใจ (Trust) และความท้าทาย (Challenge) ต่อคนในทีม การสนับสนุนแนวคิดทีมแบบนี้ต้องเชื่อใจและให้อิสระภาพในการคิดสร้างสรรค์งาน ในการทำงานของผู้บริหารควรทำให้การตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ โปร่งใส ลดนโยบาย,ขั้นตอนการทำงาน, หรือกฎแปลกๆ ที่จะทำให้ความเร็วการทำงานลดลง
บทที่ 2 Every Single Employee Should Understand the Business การสื่อสารให้คนทั้งองค์กรรับรู้เรื่องเดียวกันและสื่อสารบ่อย ๆ สิ่งที่จำเป็นคือให้พนักงานทุกคนมองธุรกิจ มองบริษัทในมุมมองเดียวกับ C Level มอง ส่วนใหญ่ที่ไปผิดทางคือส่งไปเทรน, เน้นการวัด Performance, หรือ Individual Performance Plan ที่ไม่ได้ตอบโจทย์ High-Performance Culture
บทที่ 3 Humans Hate Being Lied To and Being Spun เวลามีปัญหาต้องคุยกันต่อหน้า ไม่คุยลับหลัง ในทางหัวหน้างานและ HR ต้องเป็นฝ่ายซัพพอร์ตการแก้ปัญหาที่แท้จริงโดยการบอกอย่างตรงไปตรงมา การที่ไม่พูดถึงปัญหาเพราะกลัวจะทำให้ความรู้สึกไม่ดีแก่กันจะยิ่งเพิ่มปัญหา
บทที่ 4 Debate Vigorously การถกเถียงให้ยึดประโยชน์ของธุรกิจและประโยชน์ต่อลูกค้าเป็นสำคัญ ดีเบตที่ดีควรเป็นกลุ่มเล็กและถ้านอกประเด็นต้องถามย้ำเสมอว่า “ปัญหาคืออะไร” เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว ให้ทำการอธิบายปัญหาและวิธีแก้ไขออกมาเป็น Presentation กับคนในองค์กรด้วย อีกทั้งวัฒนธรรมองค์กรในการตั้งคำถาม ให้การตั้งคำถามเป็นเรื่องปกติ ไม่มีโทษ
บทที่ 5 Build company Now that you want to be Then สกิลที่จำเป็นในระดับผู้บริหารคือการสอนงานและการตรวจสอบความก้าวหน้า โดยผู้เขียนใช้ความว่าการสร้างทีมไม่ใช่การเลี้ยงดูครอบครัว นั่นหมายถึงฝ่ายบริหารต้องมองไปข้างหน้าว่าธุรกิจต้องการอะไรแล้วหาบุคคลากรให้ตรงตามความต้องการ นอกเหนือจากการปั้นคนในบริษัท จะเป็นการหาคนใหม่ที่มีความรู้เฉพาะทางจากข้างนอกเข้ามา
บทที่ 6 Have the Right Person in Every Single Position การหาคนมาทำงานนั้นควรเลือกคนที่มีความสามารถในการแก้ปัญหา (Problem-solving abilities) การสัมภาษณ์งานต้องมีทั้ง HR และ Manager ตรงกับตำแหน่งที่จะรับ บทสนทนาในการสัมภาษณ์ควรเน้นความประทับใจ เพื่อให้คนอยากมาทำงาน ประเด็นความอยากมาทำงานของพนักงานควรมาจากความรักในงานและการได้ทำงานกับคนเก่งๆในทีม ไม่ใช่โต๊ะปิงปอง โซฟานุ่ม, อาหารว่างฟรี หรือแม้แต่โบนัส ถ้าเขาจะรักไม่มีโบนัสเขาก็รัก
บทที่ 7 Pay People What They’re Worth to You การจ่ายให้พนักงานคิดจาก Performance + ผลที่จะได้จากเขาในอนาคต แทนการอิงราคาตลาด หากสัมภาษณ์งานแล้วเจอคนที่มี Job Description ไม่ครบทุกข้อ ก็อย่าเพิ่งตัดสินเงินเดือนเขาจาก JD นั้นให้คำนึงถึงข้ออื่นที่เขามีและผลที่จะได้จากเขาในอนาคต บริษัทไม่ควรเป็นคนจ่ายแพงในตลาดไปเสียทุกตำแหน่ง ให้จ่ายแพงสุดในตลาดเฉพาะตำแหน่งที่สำคัญต่อบริษัท ลองตั้งคำถามดูว่าองค์กรเราจ่ายเงินให้คนที่มีศักยภาพเพียงพอแล้วหรือยัง ในฐานะผู้บริหารคุณรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้ใครถูกทาบทามจากบริษัทอื่นบ้าง และได้บอกพวกเขาไหมว่าเรื่องนี้คุยกันได้
บทที่ 8 The Art of Good Good-Byes ถ้าเขาเคยเหมาะกับงานทำคุณงามความดีไว้กับบริษัทมากมาย แต่วันนี้ไม่มีงานที่เหมาะให้ทำแล้วก็ต้องให้โอกาสเขาไป ยกตัวอย่างกีฬาผู้บริหารคือโค้ชที่จะต้องนำผู้เล่นที่ดีที่สุดออกมา มิฉะนั้นทีมก็จะแย่และแฟนคลับก็ไม่ชอบใจ การที่จะได้พบว่าใครเหมาะอยู่ ใครไม่เหมาะแล้ว คือให้ทำการประเมินรายคนบ่อยๆ ซึ่งหนึ่งปีครั้ง ยังบ่อยไม่พอในความคิดผู้เขียน เพื่อให้ทราบว่าสกิลพนักงานยังจะเหมาะกับอนาคตบริษัทหรือไม่ ในมุมของ HR เองถ้าต้องปล่อยใครสักคนไป การจากลาที่ดีคือหางานใหม่ให้เขาด้วย ผู้เขียนยกเคสที่ให้พนักงานคนหนึ่งที่ Performance ไม่ผ่าน Netflix เลยแนะนำจนได้งานที่บริษัท Apple พนักงานคนนั้นนำดอกดอกไม้มาให้เธอในวันสุดท้ายที่ทำงาน One company failure might be another company’s treasure. เขาอาจจะแค่ไม่เหมาะกับที่นี่ แต่เขาน่าจะเฉิดฉายเมื่ออยู่ที่อื่น
Culture of Freedom and Responsibility = More power, more control over their career, confidence to speak up, more to risk, more to pick themselves up again